ค่าไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 อยู่ในช่วงขาลงจริงหรือ (ตอนจบ)

ในบทความตอนที่แล้วผู้เขียนได้วิเคราะห์ว่าค่าไฟฟ้าเอฟที งวด ก.ย.- ธ.ค. 2566 จะมีแนวโน้มลดลงไม่ต่ำกว่า 50 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีเหตุผลประกอบ ดังนี้

1. ค่าไฟฟ้าเอฟที งวด ม.ค.- เม.ย. 2566 ได้กำหนดสมมติฐานในการคำนวณค่าเอฟทีไว้สูงกว่าที่เกิดขึ้นจริง กล่าวคือ ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 90.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดจร (LNG Spot) อยู่ที่ 29.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ราคา Pool Gas อยู่ที่ 466 บาทต่อล้านบีทียู แต่ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงต่ำกว่าสมมติฐานในการประมาณการค่าเอฟที เช่น ราคาน้ำมันดิบดูไบจริงเคลื่อนไหวอยู่ที่ 78-86 ดอลลาร์ต่อบาเรล ราคา LNG Spot. อยู่ระหว่าง 12-29 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ราคา Pool Gas ต่ำกว่า 466 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งทำให้ค่าเอฟทีที่เรียกเก็บสูงกว่าที่เกิดขึ้นจริง ทำให้มีเงินสะสมหรือค่า AF เป็นบวก เหลือมาใช้ลดราคาในงวดเดือน พ.ค.- ส.ค. 2566 จำนวนหนึ่ง

2. ค่าเอฟที งวด พ.ค. – ส.ค. 2566 ก็น่าจะกำหนดสมมติฐานในการคำนวณค่าเอฟทีไว้สูงกว่าที่ จะเกิดขึ้นจริง ดังนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบกำหนดไว้ที่ 80.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคา LNG Spot อยู่ที่ 19.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ราคา Pool Gas อยู่ที่ 379 บาทต่อล้านบีทียู แต่ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือน พ.ค. ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ ดังนี้ ราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคา LNG Spot อยู่ที่ 9.8-10.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ทำให้ราคา Pool Gas ต่ำกว่า 379 บาทต่อล้านบีทียู ส่งผลให้ค่าเอฟทีที่เกิดขึ้นจริงต่ำกว่าที่เรียกเก็บไป จึงทำให้มีเงินสะสม (AF) น่าจะเป็นบวกเหลือจำนวนหนึ่งที่นำมาใช้ลดค่าเอฟทีในงวดถัดไปได้อีก

3. สำหรับแนวโน้มค่าเอฟที งวด ก.ย.- ธ.ค.2566 นั้นคาดว่าจะลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้แน่นอน โดยมีปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังอยู่ในภาวะถดถอย อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้ความต้องการพลังงานชะลอตัวลง ทำให้ให้ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดล่วงหน้าในช่วงครึ่งปีหลังลดลงมาอยู่ในระดับ 72-74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ราคา LNG Spot ก็เคลี่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ 10-12 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะลดลงจากช่วงก่อน เนื่องจากสูตรราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยสัมพันธ์กับราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง 8-12 เดือน ซึ่งในขณะนั้นราคาน้ำมันเตามีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปลายปี 2565 เป็นต้นมา นอกจากนี้ราคาน้ำมันเตายังส่งผลให้ราคาก๊าซจากเมียนมาร์ก็จะชะลอตัวลดลงตามราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง 3 เดือนด้วย สุดท้ายก็จะส่งผลให้ราคา Pool Gas ลดลงจากช่วง พ.ค.- ส.ค. 2566 ได้อีกระดับหนึ่ง ดังนั้น จึงคาดว่าค่าเอฟที งวด ก.ย.- ธ.ค. 2566 จะลดลงจากงวดก่อน แถมยังมีเงินสะสมจาก 2 งวดที่แล้วมาช่วยลดราคาเอฟทีได้อีก จึงทำให้ค่าเอฟทีงวด ก.ย.- ธ.ค. 2566 อาจลดลงได้มากถึง 70 สตางค์ต่อหน่วย

อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่าในการจัดทบทวนและทำประมาณการค่าเอฟที ถึงแม้จะเป็นหน้าที่หลักของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็จริง แต่การทำงานก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานด้านพลังงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันการประเมินสถานการณ์ ปัจจัย สมมติฐาน ตลอดจนการรวบรวมและจัดทำข้อมูลซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา อีกทั้งการประกาศค่าเอฟทีแต่ละงวดยังเป็นการประมาณการล่วงหน้าถึง 4 เดือน ซึ่งยังไม่นับรวมช่วงเวลาในการรวบรวม จัดทำ และประมวลผลข้อมูลล่วงหน้าถึง 45 วัน เพื่อให้ทันต่อการประกาศค่าเอฟทีในแต่ละงวดที่ต้องประกาศล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนตามข้อตกลงกับทางภาคธุรกิจเอกชนที่ต้องการระยะเวลาการเตรียมพร้อมและปรับตัว

ยกตัวอย่าง เช่น ค่าเอฟทีในงวด ก.ย.- ธ.ค. 2566 กระบวนการประมาณการค่าเอฟทีจะต้องเริ่มตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. 2566 และประกาศใช้ก่อนสิ้นเดือน ส.ค. 2566 ดังนั้น จึงทำให้ยังคงมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอนหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย เริ่มตั้งแต่สมมติฐานในช่วง ก.ย. - ธ.ค. 2566 ของราคาน้ำมันดิบดูไบ ราคา LNG Spot และ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในขณะนี้ยังมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะเกิดอะไรขึ้นยังไม่มีใครรู้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยและปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และราคาน้ำมัน แม้จะอยู่ในช่วงขาลงแต่ก็มีความผันผวน

ดังนั้น ความยากลำบากในการบริหารค่าเอฟทีงวด ก.ย.- ธ.ค. ในช่วงค่าไฟฟ้าขาลง จึงอยู่ที่ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั้งในและนอกภาคพลังงานที่ยังคงยืดเยื้อยังไม่มีข้อสรุป กับการตอบสนองความต้องการ ความคาดหวัง ความไม่พอใจของประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากค่าไฟแพงและต้องการให้ไฟฟ้าถูกลง

หน้าที่ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังคงต้องประมาณการค่าเอฟทีงวด ก.ย.- ธ.ค. 2566 ก่อนที่ตั้งสมมติฐานในช่วงกลาง ก.ค. 2566 นั้น จะต้องพิจารณาอย่างละเอียด และรอบคอบ ถึงปัจจัยต่างๆให้ครบถ้วน เช่น แนวโน้มราคา Forward ของราคาน้ำมันดิบดูไบ และ LNG Spot รวมทั้ง อัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 มาประกอบการประมาณการ มิเช่นนั้นอาจจะทำให้ค่าประมาณการเอฟทีกับค่าที่เกิดขึ้นจริง อาจจะคลาดเคลื่อนได้ ทั้งยังอาจจะทำให้ถูกต่อว่าต่อขานว่าเก็บเงินค่าเอฟทีประชาชนเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นจริงเหมือนสองงวดที่ผ่านมา

ทั้งที่ในความเป็นจริงมันมีข้อจำกัดที่ต้องยอมรับและเข้าใจร่วมกันด้วยว่า มันเป็นเรื่องของการคาดการณ์และระยะเวลาที่ต้องใช้ในกระบวนการรวบรวมข้อมูลในแต่ละช่วง แต่กลไกเอฟทีก็ยังเป็นเพียงกลไกเดียวที่สามารถจะนำเอาเงินค่าไฟมาคืนให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึงในงวดถัดๆ ไปก็ตาม แต่ค่าเอฟทีที่สูงขึ้นไปแล้วนั้นได้ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและความเป็นอยู่ของประชาชนไปแล้ว

อีกประเด็นหนึ่งที่ละเลยไม่ได้คือปัญหาการคืนเงินค่าเชื้อเพลิงที่ กฟผ. รับภาระล่วงหน้าไว้กว่า 160,000 ล้านบาท ที่กกพ.ต้องพิจารณาและแก้ไขปัญหาควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้ กฟผ.มีปัญหาสภาพคล่องและลุกลามกระทบต่อเครดิตของ กฟผ.กระทบต่อความมั่นคงทางด้านไฟฟ้าของประเทศด้วย

โดยสรุปจากปัจจัยที่ได้หยิบยกมาให้ดูกันการพิจารณาค่าเอฟทีในงวดสุดท้ายของปี 2566 ที่ดูเผินๆ เหมือนจะง่าย แต่ก็คงไม่ง่ายซะทีเดียว สุดท้ายผู้เขียนขอเอาใจช่วยและเชื่อมั่นว่า กกพ.จะบริหารค่าเอฟทีงวดสุดท้ายของปีนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ในห้วงของค่าเอฟทีขาลงท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนซึ่งยังมีอยู่มาก